เมื่อพูดถึงหน้า Landing Page บางคนอาจจะมีคำถามว่า “มันคืออะไร?” หน้า Landing Page มันต่างกับหน้าเว็บไซต์ปกติที่มีอยู่ในตอนนี้ยังไง? แล้วทำไมถึงต้องเสียเวลาสร้างหน้า Landing Page ขึ้นมาใหม่อีก?
คำถามพวกนี้เป็นคำถามที่ผมมักจะถูกถามจากทางลูกค้าอยู่บ่อย ๆ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เมื่อพร้อมแล้วก็มาลุยไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
ทำไมถึงต้องมีหน้า Landing Page?
ก่อนอื่นผมมีคำถามง่าย ๆ ถามคุณกลับไปก่อนครับว่า…
“เป้าหมายของเว็บไซต์ของคุณคืออะไร?” หรือ “เว็บไซต์ของคุณมีเอาไว้เพื่ออะไร?”
คือถ้าเป็นเว็บไซต์ eCommerce แน่นอนว่าเป้าหมายคือ “การเพิ่มยอดขาย (Sales)”
ถ้าเป็น “ธุรกิจที่เน้นหาลูกค้ามุ่งหวัง (Lead Generation)“
เป้าหมายก็คือ “การให้กลุ่มลูกค้ามุ่งหวัง (Leads) กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อให้ทางทีมขายติดต่อกลับ” (ธุรกิจประเภทประกันภัย อสังหาฯ มักจะใช้เทคนิคนี้เยอะกันเป็นพิเศษ)
หรือถ้าเป็นธุรกิจยุคใหม่แนว Software As A Service (SAAS)
เป้าหมายก็คือ “การเพิ่มจำนวนสมาชิก (Members)” นั่นเอง
ซึ่งการที่มี “หน้า Landing Page ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะเจาะจง” เหล่านี้นั้น สามารถที่จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะทำให้คุณไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้มากกว่านั่นเอง
ได้มากกว่ายังไงนั้น? อ่านต่อเลยครับ…
หน้า Landing Page คืออะไร?
จริง ๆ แล้ว ถ้าให้ตอบแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ แปลแบบตรงตัว หน้า Landing Page ก็คือ
“หน้าที่คนคลิกเข้ามาแล้วเจอคุณในตอนแรก“
ลองนึกถึงตอนคุณเข้าไปค้นหาข้อมูลอะไรสักอย่างที่ Google แล้วคุณคลิกที่เว็บไซต์สักเว็บนึง เมื่อคุณเข้าไปที่เว็บนั้นแล้ว หน้าแรกที่คุณเห็นนั่นแหละครับเรียกว่าหน้า Landing Page
หรือว่าตอนที่คุณกำลังเล่น Facebook อยู่ คุณเห็นโฆษณาตัวนึงบนฟีดของคุณ แล้วคุณคลิกก็เข้าไปดู คุณก็จะมาเจอหน้า Landing Page ของเว็บนั้น ๆ ได้เหมือนกัน
พูดง่าย ๆ ก็คือเป็น “หน้าเว็บที่คุณคลิกเข้าไปเจอในครั้งแรกนั่นเอง”
แต่ว่าเดี๋ยวก่อนครับ!
เพราะว่าหน้า Landing Page ในความหมายของคนที่ทำการตลาดออนไลน์จริง ๆ แล้วนั้น “ไม่ได้หมายถึงเป็นแค่หน้าที่คนคลิกเข้ามาแล้วเจอคุณในตอนแรก” แต่เพียงอย่างเดียวครับ!
แต่จะมีความหมายพิเศษอะไรที่มากไปกว่านี้บ้างนั้น…
ผมขอให้คุณได้รู้จักกับประเภทของหน้า Landing Page กันก่อนครับ
ประเภทของหน้า Landing Page
จากคำจำกัดความของ Wikipedia หน้า Landing Page จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- Transactional
- Reference
1. Transactional
หน้า Landing Page ประเภทนี้ จะมีเป้าหมายหลัก ๆ ก็คือ การทำให้พวกเค้าเกิดการตัดสินใจ เช่น กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือว่าทำรายการสั่งซื้อ ในหน้า Landing Page ได้เลย
จุดสังเกตง่าย ๆ ก็คือ จะมี “แบบฟอร์ม” ให้คุณกรอก
บางคนอาจจะเรียกหน้า Landing Page แบบ Transactional นี้ว่า Lead Gen ก็ได้ครับ
2. Reference
ส่วนหน้า Landing Page แบบ Reference จะเป็นเหมือนกับหน้าที่เขียนให้ข้อมูลเชิญชวน อารมณ์ประมาณอ่านแล้วเกิดความต้องการอยากจะซื้อของชิ้นนั้น ๆ
ซึ่งจุดที่แตกต่างจากหน้า Landing Page แบบ Transactional ก็คือ ไม่มีแบบฟอร์มให้กรอก แต่จะเป็นปุ่มให้คลิกไปต่อแทน
บางคนอาจจะเรียกหน้า Landing Page แบบนี้ว่า Click-through
บางคนอ่านมาถึงตรงนี้ ก็อาจจะมีคำถามขึ้นในใจว่า แล้วหน้า Landing Page มันต่างกับหน้าเว็บไซต์ปกติยังไง(วะ)?
ซึ่งจริง ๆ แล้ว หน้า Landing Page ก็คือหน้าเว็บปกตินั่นแหละครับ เพียงแต่ว่ามันมีจุดสำคัญอยู่ข้อนึง ที่ทำให้หน้า Landing Page นั้น มีความแตกต่างกับหน้าเว็บไซต์ปกติที่คุณมีอยู่บนเว็บของคุณ
สิ่งนั้นก็คือคำว่า…
>>>>>>>>>> “Conversion Focused” <<<<<<<<<<
ก็คือหน้า Landing Page เป็นหน้าเว็บที่จะ “เน้น” ในส่วนที่จะทำให้คนที่เข้ามา “เกิดการตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง (Conversion)“
ซึ่งผมเคยให้คำจำกัดความของ Conversion ง่าย ๆ ไว้ในโพสนี้ว่า...
“คอนเวอร์ชั่นก็คือ สิ่งที่คุณต้องการให้พวกเค้าทำบนเว็บไซต์ของคุณ“
เมื่อคุณรู้จักคำว่า Conversion Focused ในหน้า Landing Page ของคุณแล้ว ก็จะมีกฎเหล็กที่สำคัญอยู่ข้อนึงในการทำหน้า Landing Page ซึ่งกฏเหล็กที่ว่าคือ…
กฏเหล็กหนึ่งข้อ (The One Thing) ของหน้า Landing Page คือ...
“1 Landing Page = 1 Conversion“
หรือ
1 หน้า Landing Page ให้มีเพียง “สิ่งเดียวที่คุณต้องการให้พวกเค้าทำ (Conversion)”
ไม่ว่าจะเป็น…
- จะขายของ หรือ
- จะให้กรอกข้อมูลทิ้งไว้ หรือ
- จะให้สมัครสมาชิก หรือ
- ฯลฯ
ให้คุณเลือกมาเพียงอย่างเดียวพอครับ
ดังนั้นก่อนที่คุณจะให้พวกเค้าทำอะไร คุณก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า…
“คุณสร้างหน้า Landing Page นี้ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายอะไร?“
คุณจะต้องมี “เป้าหมายที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง” ให้ได้ก่อน คุณถึงจะสามารถออกแบบหน้า Landing Page ของคุณ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้นได้ครับ
ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า …
“มีแค่เป้าหมายหนึ่งเดียว ในหนึ่งหน้า Landing Page” (อย่าโลภมาก! คำโบราณเค้าว่าเอาไว้ “โลภมาก ลาภหาย”)
ทีนี้มาดูกันครับว่า ระหว่างหน้าเว็บไซต์ปกติ กับหน้า Landing Page ที่มีแค่เป้าหมายหนึ่งเดียว มันมีความแตกต่างกันยังไงบ้าง
ความแตกต่างระหว่างหน้าเว็บปกติ vs. หน้า Landing Page
แบบที่ 1: หน้าเว็บปกติของ ธนาคารซิตี้แบงก์
แบบที่ 2: หน้า Landing Page ของ Citibank ที่ให้คนสมัครบัตรเครดิต
คุณคิดว่าแบบไหน ที่จะมีคนมาสมัครบัตรเครดิตมากกว่ากันระหว่าง 2 แบบนี้?
จะเห็นได้ว่าการที่คุณออกแบบหน้า Landing Page ที่เฉพาะเจาะจง จะมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าหน้าเว็บแบบปกติ ก็คือคุณแทบจะไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลยว่า จะต้องกดที่ปุ่มไหนที่จะทำการสมัครบัตรเครดิตได้
ในขณะที่หน้าเว็บปกติ มันมีสิ่งรบกวนต่าง ๆ มากมายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นลิงค์เมนูด้านบน หรือลิงค์เมนูด้านข้าง รวมไปถึงลิงค์เมนูด้านล่างอีกต่างหาก (มองไปทางไหนก็เห็นแต่สิ่งที่ทำให้คนวอกแวก จนอดที่จะกดลิงค์พวกนั้นไม่ได้ แทนที่จะคลิกที่ปุ่ม “สมัครบัตรเครดิต”!)
นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงแนะนำให้ลูกค้าของเรา ให้ใช้หน้า Landing Page ในการทำแคมเปญการตลาด มากกว่าหน้าเว็บปกติที่มีอยู่ในตอนนี้ของลูกค้า
เหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะว่ามันช่วยในเรื่องของ “การเพิ่มจำนวนคอนเวอร์ชั่น” ได้ดีกว่ามาก ๆๆๆ นั่นเอง
ทีนี้ถ้าให้ผมตอบว่าหน้า Landing Page คืออะไร? อีกครั้งนึง
ผมขอตอบแบบนี้ครับว่า…
หน้า Landing Page ก็คือ "หน้าแรกที่คนคลิกเข้ามาเจอ แล้วเน้นให้เกิดคอนเวอร์ชั่น"
ทีนี้เมื่อคุณรู้จักหน้า Landing Page แล้วว่าคืออะไร? รู้ว่าทำไมถึงต้องออกแบบหน้า Landing Page ที่เน้นในเรื่องของคอนเวอร์ชั่น และก็รู้จักกฏเหล็กหนึ่งข้อของการทำหน้า Landing Page แล้ว
ทีนี้มาดูข้อดีอื่น ๆ เพิ่มเติมของการใช้หน้า Landing Page นี้กันครับ
ข้อดีของการใช้หน้า Landing Page
- ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้สูงขึ้นได้มากกว่าหน้าเว็บปกติ
เมื่อคุณยึดกฏเหล็กที่ว่า “1 Landing Page 1 Conversion” คุณจะช่วยให้พวกเค้าไม่ต้องคิดเยอะครับ เพราะว่าไม่มีสิ่งต่าง ๆ มารบกวนเป้าหมายที่คุณวางไว้
คุณก็จะสามารถที่จะจูงใจพวกเค้าให้ทำในสิ่งที่คุณอยากให้เค้าทำได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งนำไปสู่การมี Conversion Rate ที่ดีขึ้นนั่นเอง (ลองเลื่อนกลับไปด้านบนดูรูปของหน้าเว็บปกติ กับหน้า Landing Page ของ Citibank ดูอีกทีครับ)
(ผมแนะนำให้อ่าน “หนังสือ Don’t Make Me Think” ของ Steve Krugg ปรมาจารย์ด้าน Usability หรือการออกแบบเว็บให้ใช้งานง่ายต่อครับ ผมรับรองได้เลยว่าคุณต้องชอบ)
- ช่วยเพิ่มจำนวนคอนเวอร์ชั่น (Conversion)
ทีนี้เมื่อพวกเค้าไม่ต้องคิดเยอะ พวกเค้าก็จะทำใน “สิ่งที่คุณอยากให้พวกเค้าทำ (Conversion)” ได้เพิ่มมากขึ้น
- ทำให้ช่วยลด “ต้นทุนในการหาลูกค้า (Cost Per Acquisition)” ได้
เมื่อมี Conversion Rate และ Conversion ที่ดีขึ้น ก็จะทำให้คุณ “มีต้นทุนในการหาลูกค้าที่ถูกลง”
หรือคุณอาจจะใช้เงินในการทำโฆษณาเท่าเดิม โดยที่คุณก็จะ “มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น”
- ช่วยเพิ่มคะแนนคุณภาพ (Quality Score) ได้
สำหรับคนที่ทำโฆษณา Google ความเกี่ยวข้องของ “คีย์เวิร์ด + ข้อความโฆษณา + หน้า Landing Page” สามารถทำให้บัญชีโฆษณาของคุณมี “คะแนนคุณภาพ (Quality Score)” ที่สูงขึ้นได้ ซึ่งนำไปสู่ “ตำแหน่งโฆษณาของคุณ (Ad Rank)” ที่ดีขึ้นและอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคู่แข่งของคุณ
วิธีการนำ Landing Page มาใช้ในการทำแคมเปญการตลาดออนไลน์
หากเปรียบว่า …
การทำโฆษณา คือส่วนนึงของ “เรื่องการตลาด“
ผมขอยกให้…
หน้า Landing Page คือส่วนนึงของ “เรื่องการขาย” ครับ
คือถ้าคุณทำโฆษณา หรือทำการตลาดเก่งแล้ว
ผมก็อยากให้คุณทำหน้า Landing Page ที่ทำหน้าที่เหมือนกับฝ่ายขายของคุณตลอด 24 ชม. ให้เก่งด้วยครับ
ยิ่งถ้าหากว่าคุณเน้นทำการตลาดออนไลน์เป็นหลัก ผมแนะนำว่าคุณควรจะลองทำหน้า Landing Page ขึ้นมาสักหน้านึง แล้วเอามาใช้ควบคู่กับการทำแคมเปญโฆษณาของคุณครับ
คุณอาจจะเริ่มจากการทดสอบดูก่อนก็ได้ครับว่า…
แบบที่ 1: ส่งคนที่คลิกโฆษณาของคุณไปยังหน้าเว็บปกติ
แบบที่ 2: ส่งคนไปที่หน้า Landing Page ที่คุณสร้างขึ้นมาใหม่
แล้วดูว่า Conversion Rate จากแบบไหนดีกว่ากัน?
แล้วเมื่อคุณทำการรันโฆษณาได้ตัวเลขมาใช้วัดผลได้ระดับนึง จนคุณมั่นใจได้แล้วว่าหน้า Landing Page ของคุณมี Conversion Rate ที่ดีกว่าหน้าเว็บปกติ
ถึงตอนนั้นคุณก็สามารถนำไปปรับใช้กับหน้าเว็บปกติของคุณ ให้เป็นรูปแบบเดียวกันกับหน้า Landing Page ที่คุณเพิ่งทำขึ้นมานี้ต่อไปได้ครับ
ทีนี้มาดูกันครับว่า การออกแบบหน้า Landing Page เพื่อตอบโจทย์ในส่วนของ Conversion ให้ได้ผลดีนั้น ควรจะมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
ส่วนประกอบที่สำคัญ ๆ ของหน้า Landing Page มีอะไรบ้าง?
- หัวข้อหลัก (Headline)
เป็นจุดที่เน้นในส่วนของข้อเสนอ (Offer) หรือคำสัญญา (Promise) ที่จะให้กับพวกเค้า ถือว่าสำคัญมาก เพราะว่ามักจะเป็นจุดแรกที่พวกเค้าจะได้เห็นก่อน - รูปภาพหลัก (Hero Image) หรือวีดีโอ (Video)
เพื่อช่วยสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเค้าจะได้รับ (อ่านหนังสือ “กลยุทธ์ (ก่อน) โน้มน้าวใจ: Pre-suasion” ของ Robert Cialdini ดูต่อ) - ย่อหน้ารอง (Lead Paragraph)
เป็นส่วนของย่อหน้าที่จะช่วยขยายความในส่วนของหัวข้อหลักให้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น - หัวข้อย่อย ๆ (Bullets)
ลิสต์เป็นข้อ ๆ ในส่วนของคุณประโยชน์ (Benefits) เพื่อให้อ่านได้ง่าย ๆ - คำชมจากลูกค้า (Social Proofs)
รวมไปถึงพวก Testimonials หรือรีวิวต่าง ๆ - พวกโลโก้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ (Rewards)
รวมไปถึงพวกรางวัลต่าง ๆ ที่ได้รับ (มีของดีก็ต้องโชว์ให้โลกรู้ครับ) - ส่วนของแบบฟอร์ม (Form)
ในกรณีถ้าเป็นหน้า Landing Page แบบ Transaction ก็จะมีแบบฟอร์มเอาไว้ให้กรอกข้อมูล เช่น ชื่อ อีเมล์ เบอร์โทร เพื่อให้คุณสามารถติดต่อกลับไปหาพวกเค้าได้ในอนาคต หรือถ้าเป็นหน้า Landing Page แบบ Reference ก็จะเป็นปุ่มให้คลิกไปหน้าต่อไป - ปุ่ม Call To Action
โดยใช้คำที่กระตุ้นให้พวกเค้าตัดสินใจ แล้วรู้ได้ว่าเมื่อคลิกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น (เลิกใช้คำพวก Submit, Send พวกนี้บนปุ่ม Call to Action ได้แล้วครับ) - ลิงค์ไปหน้านโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
คือถ้าคุณทำโฆษณาอยู่ ทาง Google, Facebook เค้ากำหนดให้มีหน้านี้ด้วยนะครับ - หน้าขอบคุณ (Thank You Page)
หลังจากที่พวกเค้ากรอกข้อมูลมาให้แล้ว อย่าลืมสร้างหน้าขอบคุณเพื่อให้พวกเค้ารู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ซึ่งคุณอาจจะทำเป็นหน้า Up-sell/Cross-sell ในหน้าขอบคุณนี้ก็ได้
ตัวอย่างของหน้า Landing Page ที่ดี
จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า ตัวอย่างของหน้า Landing Page ที่ดี ๆ นั้นมีอยู่เยอะมาก ๆ
ผมแนะนำคุณแบบนี้ครับ เวลาที่คุณเจอหน้า Landing Page หน้าไหน แล้วคุณมีความรู้สึกว่า “อยากจะควักบัตรเครดิตมาจ่ายเงินซื้อของให้กับเค้าในตอนนั้นซะเหลือเกิน :)” ก็ให้คุณทำการเซฟรูปนั้นเก็บไว้เลยครับ (เรียกว่า Swipe Files)
แล้วคุณก็มาศึกษาดูครับว่า ในหน้า Landing Page นั้น ๆ มันมีส่วนไหนบ้างที่คุณพอจะนำมาใช้กับหน้า Landing Page ของคุณได้บ้าง เพื่อใช้โน้มน้าวและจูงใจลูกค้าของคุณ และทำให้พวกเค้าอยากควักบัตรเครดิตมาจ่ายเงินให้กับคุณได้ด้วย
ส่วนหน้า Landing Page ด้านล่าง เป็นตัวอย่างที่คุณสามารถนำมาใช้เป็นไอเดียได้เลยครับ เพราะว่าผมเอามาจากเว็บที่คุณสามารถสมัครใช้บริการสร้างหน้า Landing Page ได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเองเลยครับ
เครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง Landing Page มีอะไรบ้าง?
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ผมเห็นว่าใช้งานได้ง่าย เป็นที่นิยม แล้วก็มีตัวอย่าง (Templates) มาให้เลือกใช้กันมากมายหลายแบบ
1. Unbounce
2. Instapage
3. Leadpages
สุดท้ายนี้ ผมก็อยากฝากทุกคนไว้ครับว่า ถึงแม้คุณจะรู้แล้วว่า “หน้า Landing Page คือ หน้าแรกที่คนคลิกเข้ามา แล้วเน้นให้เกิดคอนเวอร์ชั่น“
แต่ว่ามันมีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นครับ ที่คุณจะรู้ได้ว่าหน้า Landing Page มันช่วยเพิ่มยอดของคอนเวอร์ชั่นของคุณได้จริงหรือไม่?
นั่นก็คือ “การทดสอบและวัดผล” ครับ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีที่สำคัญมาก ๆ ในโลกของการทำการตลาดออนไลน์ (แต่ก็น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นค่าในเรื่องของการทดสอบและวัดผลออนไลน์ :()
ทีนี้เมื่อคุณทำการทดสอบและวัดผลเสร็จแล้ว คุณก็เอาตัวเลขมากางดูเปรียบเทียบกันเลยครับว่า…
หน้า Landing Page ของคุณที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้น มันช่วยทำให้เกิดคอนเวอร์ชั่นได้เพิ่มมากขึ้นจริงหรือเปล่า?
ง่าย ๆ แค่นี้เองครับ
ส่วนใครที่ทำหน้า Landing Page เจ๋ง ๆ มีคอนเวอร์ชั่นสูง ๆ อยู่แล้ว ก็อย่าลืมหมั่นทดสอบหน้า Landing Page ใหม่ ๆ และก็วัดผลกันอยู่เรื่อย ๆ นะครับ เพื่อที่คุณจะได้มีคอนเวอร์ชั่นที่ดียิ่งขึ้นเพิ่มไปอีก
ขอบคุณมากครับ